โรคเกาต์รักษายังไง? เป็นแล้วหายไหม?

โรคเกาต์รักษายังไง เป็นแล้วหายไหม 02

โรคเกาต์เป็นโรคข้ออักเสบชนิดหนึ่ง เกิดจากการที่ร่างกายมีกรดยูริกในเลือดสูง กรดยูริกเป็นสารที่เกิดจากการสลายตัวของสารพิวรีน (purine) ซึ่งพบได้ในอาหารบางชนิด เช่น เนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ ปลาหมึก สัตว์ปีก ปลาไส้ตัน ปลาซาร์ดีน ของหมักดอง ถั่วเมล็ดแห้ง แตงกวา ถั่วงอก ยอดผักทุกชนิด และหน่อไม้

การรักษาระยะกำเริบ

อาการของโรคเกาต์มักเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน โดยมักพบที่ข้อหัวแม่เท้าเป็นหลัก แต่อาจพบที่ข้ออื่นๆ ได้ เช่น ข้อเข่า ข้อเท้า ข้อมือ ข้อศอก เป็นต้น อาการของโรคเกาต์ในระยะกำเริบมีดังนี้

  • ปวดข้ออย่างรุนแรง
  • บวมข้อ
  • แดงบริเวณข้อ
  • ร้อนบริเวณข้อ

การรักษาในระยะกำเริบมีเป้าหมายเพื่อลดอาการอักเสบและบรรเทาอาการปวด โดยแพทย์อาจให้ยากลุ่มต่อไปนี้

  • ยาแก้ปวด เช่น ยาพาราเซตามอล ยาไอบูโพรเฟน ยานาพรอกเซน

ยาแก้ปวดเหล่านี้จะช่วยบรรเทาอาการปวดและลดการอักเสบได้ แต่อาจไม่เพียงพอในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง

  • ยาโคลชิซีน (Colchicine)

ยาโคลชิซีนเป็นยาแก้อักเสบและลดการสะสมของผลึกกรดยูริก ยาโคลชิซีนสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดและลดการอักเสบได้อย่างรวดเร็ว แต่อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน

  • ยาสเตียรอยด์

ยาสเตียรอยด์เป็นยาแก้อักเสบชนิดรุนแรง ยาสเตียรอยด์สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดและลดการอักเสบได้อย่างรวดเร็ว แต่อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น น้ำหนักขึ้น หน้าบวม ความดันโลหิตสูง

แพทย์จะพิจารณาเลือกใช้ยาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย โดยอาจให้ยาหลายชนิดร่วมกัน

การรักษาระยะไม่กำเริบ

เป้าหมายของการรักษาในระยะนี้คือเพื่อควบคุมระดับกรดยูริกในเลือดให้อยู่ในระดับปกติ โดยแพทย์อาจให้ยากลุ่มต่อไปนี้

  • ยาลดการสร้างกรดยูริก เช่น ยาอัลโลพิวรินอล (Allopurinol)

ยาอัลโลพิวรินอลเป็นยาที่ยับยั้งการสร้างกรดยูริกในร่างกาย ยาอัลโลพิวรินอลสามารถช่วยควบคุมระดับกรดยูริกในเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ผื่นแพ้ คลื่นไส้ อาเจียน

  • ยาเพิ่มการขับกรดยูริกทางไต เช่น ยาโปรเบ็นนาซิด (Probenecid) ยาเบนโบรมาโรน (Benzbromarone) ยาซัลฟินไพราโซน (Sulfinpyrazone)

ยาโปรเบ็นนาซิด ยาเบนโบรมาโรน และยาซัลฟินไพราโซนเป็นยาที่ช่วยให้ไตขับกรดยูริกออกมาได้มากขึ้น ยากลุ่มนี้อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ไตวาย

แพทย์จะพิจารณาเลือกใช้ยาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย โดยอาจให้ยาเพียงชนิดเดียวหรือให้ยาหลายชนิดร่วมกัน

การปรับวิถีชีวิต

การปรับวิถีชีวิตก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน เช่น การรับประทานอาหารที่มีกรดยูริกต่ำ การดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ การลดน้ำหนัก การงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การเลิกสูบบุหรี่ เป็นต้น

ผู้ป่วยโรคเกาต์ควรรับประทานอาหารที่มีกรดยูริกต่ำ เช่น เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ปลา ไข่ นม ผัก ผลไม้ เป็นต้น ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีกรดยูริกสูง เช่น เนื้อสัตว์ติดมัน เครื่องในสัตว์ ปลาหมึก สัตว์ปีก ปลาไส้ตัน ปลาซาร์ดีน ของหมักดอง ถั่วเมล็ดแห้ง แตงกวา ถั่วงอก ยอดผักทุกชนิด และหน่อไม้

ผู้ป่วยโรคเกาต์ควรดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อช่วยให้ไตขับกรดยูริกออกมาได้มากขึ้น

ผู้ป่วยโรคเกาต์ที่มีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน ควรลดน้ำหนักลง เพื่อช่วยลดระดับกรดยูริกในเลือด

ผู้ป่วยโรคเกาต์ควรงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากแอลกอฮอล์อาจกระตุ้นการหลั่งกรดยูริกในร่างกาย

ผู้ป่วยโรคเกาต์ควรเลิกสูบบุหรี่ เนื่องจากการสูบบุหรี่อาจทำให้ระดับกรดยูริกในเลือดสูงขึ้น

ผู้ป่วยโรคเกาต์ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพและป้องกันการกำเริบซ้ำ

Articles You Might Like

Share This Article

Get Your Weekly Sport Dose

Subscribe to TheWhistle and recieve notifications on new sports posts