โรคลมพิษ (Urticaria) เป็นโรคผิวหนังที่พบได้บ่อย มีลักษณะเป็นผื่นบวมนูน แดง มีขนาดไม่แน่นอน อาจคล้ายตุ่มยุงหรือมดกัด หรืออาจมีลักษณะคล้ายแผนที่ สามารถเกิดที่บริเวณผิวหนังส่วนใดของร่างกายก็ได้ บางรายอาจมีอาการบวมบริเวณเนื้ออ่อน (ภาวะแองจิโออีดีมา) เช่น บริเวณหนังตา ริมฝีปาก เป็นต้น
อาการของโรคลมพิษ
อาการหลักของโรคลมพิษคือ ผื่นบวมนูน แดง มีขนาดไม่แน่นอน อาจคล้ายตุ่มยุงหรือมดกัด หรืออาจมีลักษณะคล้ายแผนที่ ผื่นมักมีอาการคันมาก บางครั้งอาจมีอาการปวดร่วมด้วย ผื่นลมพิษมักเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และมักหายไปภายใน 24 ชั่วโมง แต่อาจกลับมาเป็นซ้ำได้หลายครั้ง
ในบางรายอาจมีอาการบวมบริเวณเนื้ออ่อน (ภาวะแองจิโออีดีมา) เช่น บริเวณหนังตา ริมฝีปาก ลิ้น ลำคอ ทางเดินหายใจ หรืออวัยวะเพศ ภาวะนี้อาจทำให้หายใจลำบาก กลืนลำบาก หรืออาเจียนได้
สาเหตุของโรคลมพิษ
สาเหตุของโรคลมพิษยังไม่ทราบแน่ชัด แต่อาจเกิดจากปัจจัยต่างๆ ดังนี้
- แพ้อาหาร เช่น อาหารทะเล นม ถั่ว ไข่ แป้งสาลี เป็นต้น
- แพ้ยา เช่น ยาปฏิชีวนะ ยาแก้ปวด ยาแก้อักเสบ เป็นต้น
- แพ้สารเคมี เช่น สารซักฟอก น้ำหอม เครื่องสำอาง เป็นต้น
- แพ้อากาศเย็น หรืออากาศร้อน
- การติดเชื้อ เช่น การติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน การติดเชื้อทางเดินอาหาร เป็นต้น
- โรคประจำตัว เช่น โรคหอบหืด โรคภูมิแพ้
- ภาวะเครียด หรือความวิตกกังวล
การรักษาโรคลมพิษ
การรักษาโรคลมพิษขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ โดยทั่วไปสามารถรักษาได้ด้วยยาแก้แพ้ เช่น ยาไดเฟนไฮดรามีน (diphenhydramine) ยาลอราทาดีน (loratadine) ยาเซทิริซีน (cetirizine) เป็นต้น
หากมีอาการรุนแรง เช่น มีอาการบวมบริเวณเนื้ออ่อน หรือหายใจลำบาก ควรรีบไปพบแพทย์
การป้องกันโรคลมพิษ
การป้องกันโรคลมพิษสามารถทำได้โดยหลีกเลี่ยงปัจจัยที่อาจทำให้เกิดโรค เช่น
- หลีกเลี่ยงอาหาร ยา หรือสารเคมีที่แพ้
- สวมเสื้อผ้าที่หลวมสบาย ไม่รัดแน่น
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับอากาศเย็น หรืออากาศร้อน
- รักษาความสะอาดร่างกาย เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- ลดความเครียด หรือความวิตกกังวล
หากมีอาการของโรคลมพิษควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างถูกต้อง
