เกาต์กับรูมาตอยด์ ต่างกันอย่างไร?

เกาต์

เกาต์กับรูมาตอยด์ ต่างกันอย่างไร 04
  • สาเหตุ: เกิดจากร่างกายมีกรดยูริก (Uric acid) สะสมมากเกินไปจนตกผลึกเป็นตะกอนอยู่ภายในข้อหรือเนื้อเยื่อรอบข้อ กรดยูริกเป็นสารที่ร่างกายสร้างขึ้นจากกระบวนการย่อยสลายสารพิวรีน (Purine) ซึ่งพบได้ในอาหารบางชนิด เช่น เนื้อสัตว์ อาหารทะเล เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น
  • ปัจจัยเสี่ยง:
    • เพศชาย: พบได้บ่อยกว่าเพศหญิงถึง 3-4 เท่า
    • อายุ: มักพบในผู้ใหญ่อายุ 30-50 ปี
    • พันธุกรรม: มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นหากมีประวัติครอบครัวเป็นโรคเกาต์
    • ปัจจัยอื่นๆ: เช่น น้ำหนักเกินหรืออ้วน ดื่มสุราเป็นประจำ รับประทานอาหารที่มีสารพิวรีนสูง เป็นต้น
  • ลักษณะอาการ:
    • มักมีอาการปวดข้อแบบเฉียบพลัน รุนแรง มักมีอาการในตอนกลางคืน ร่วมกับอาการบวม แดง ร้อน และข้อแข็ง มักพบอาการข้ออักเสบที่นิ้วหัวแม่เท้าเป็นหลัก แต่อาจพบได้กับข้ออื่นๆ เช่น ข้อเข่า ข้อมือ ข้อเท้า เป็นต้น
    • อาการมักเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน มักมีอาการปวดรุนแรงที่สุดใน 24-48 ชั่วโมงแรก จากนั้นอาการจะค่อยๆ ดีขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์
    • อาการอาจกำเริบซ้ำได้บ่อยๆ โดยมักมีอาการที่ข้อเดิมหรือข้ออื่นๆ
  • การตรวจวินิจฉัย:
เกาต์กับรูมาตอยด์ ต่างกันอย่างไร 03
  • แพทย์จะทำการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และอาจทำการตรวจทางห้องปฏิบัติการอื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อยืนยันการวินิจฉัย เช่น
    • การตรวจเลือด: ตรวจระดับกรดยูริกในเลือด
    • การตรวจปัสสาวะ: ตรวจหาผลึกกรดยูริกในปัสสาวะ
    • การตรวจอัลตราซาวนด์: ตรวจดูข้อที่มีอาการอักเสบ
  • การรักษา:
    • เป้าหมายของการรักษาคือเพื่อลดอาการปวดข้อและป้องกันการเกิดอาการกำเริบ โดยอาจใช้ยาแก้อักเสบ ยาลดกรดยูริก หรือการผ่าตัดรักษา
    • ยาแก้อักเสบ: ใช้เพื่อลดอาการปวดและอักเสบอย่างรวดเร็ว เช่น ยาไอบูโพรเฟน นาพร็อกเซน
    • ยาลดกรดยูริก: ใช้เพื่อลดระดับกรดยูริกในเลือด ทำให้ลดความเสี่ยงในการเกิดอาการกำเริบ เช่น ยาคอเลคิซิน อัลโลพูรินอล ฟีโบฟรุท
    • การผ่าตัด: มักใช้รักษาในกรณีที่ข้ออักเสบรุนแรง หรือมีข้อพิการจากการอักเสบ

รูมาตอยด์

เกาต์กับรูมาตอยด์ ต่างกันอย่างไร 02
  • สาเหตุ: เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติ ไปทำลายเนื้อเยื่อและเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย รวมถึงเซลล์บุผนังข้อด้วย ส่งผลให้เกิดอาการอักเสบและปวดข้อ
  • ปัจจัยเสี่ยง:
    • เพศหญิง: พบได้บ่อยกว่าเพศชาย
    • อายุ: มักพบในผู้ใหญ่อายุ 30-50 ปี
    • พันธุกรรม: มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นหากมีประวัติครอบครัวเป็นโรครูมาตอยด์
    • ปัจจัยอื่นๆ: เช่น การสูบบุหรี่ ภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน การติดเชื้อบางชนิด เป็นต้น
  • ลักษณะอาการ:
    • มักมีอาการปวดข้อแบบเรื้อรัง อาการปวดอาจไม่รุนแรงเท่าเกาต์ แต่มักมีอาการข้ออักเสบหลายข้อพร้อมกัน ร่วมกับอาการอ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ น้ำหนักลด เป็นต้น
    • อาการอาจค่อยๆ พัฒนาขึ้นทีละน้อย หรืออาจเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน
    • อาการมักเกิดขึ้นกับข้อมือ ข้อนิ้วมือ ข้อเท้า ข้อเข่า เป็นต้น
  • การตรวจวินิจฉัย:
เกาต์กับรูมาตอยด์ ต่างกันอย่างไร 01
  • แพทย์จะทำการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และอาจทำการตรวจทางห้องปฏิบัติการอื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อยืนยันการวินิจฉัย เช่น
    • การตรวจเลือด: ตรวจระดับโปรตีน C-reactive protein (CRP) และปัจจัยการอักเสบอื่นๆ
    • การตรวจภาพรังสี: ตรวจดูข้อที่มีอาการอักเสบ
    • การตรวจชิ้นเนื้อ: ตรวจดูเนื้อเยื่อข้อที่อักเสบ
  • การรักษา:
    • เป้าหมายของการรักษาคือเพื่อบรรเทาอาการปวดข้อและป้องกันการทำลายข้อ โดยอาจใช้ยาแก้อักเสบ ยาลดการอักเสบชนิดชีวภาพ หรือยาอื่นๆ ตามอาการ
    • ยาแก้อักเสบ: ใช้เพื่อลดอาการปวดและอักเสบ เช่น ยาไอบูโพรเฟน นาพร็อกเซน
    • ยาลดการอักเสบชนิดชีวภาพ: เป็นยาที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ใช้ในการรักษาโรครูมาตอยด์ที่มีอาการรุนแรง เช่น ยาแอดัลลิมูมับ ยาเอนเทลูโมมับ ยาริตูซิมับ เป็นต้น
    • ยาอื่นๆ: เช่น ยาคอร์ติโค

Articles You Might Like

Share This Article

Get Your Weekly Sport Dose

Subscribe to TheWhistle and recieve notifications on new sports posts