1. ทานอาหารเพื่อสุขภาพ:
- เลือกทานไขมันดี เช่น ไขมันไม่อิ่มตัว (unsaturated fat) ที่พบในปลา อะโวคาโด ถั่ว และน้ำมันมะกอก
- เลี่ยงไขมันอิ่มตัว (saturated fat) ที่พบในเนื้อสัตว์ติดมัน เนย ชีส และน้ำมันมะพร้าว
- เลี่ยงไขมันทรานส์ (trans fat) ที่พบในอาหารแปรรูป ขนมอบ และอาหารทอด
- ทานใยอาหารสูง found in ผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี และถั่ว
- เลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูง เช่น น้ำอัดลม ขนมหวาน และน้ำผลไม้
- เลี่ยงอาหารที่มีโซเดียมสูง เช่น อาหารแปรรูป อาหารหมักดอง และอาหารกึ่งสำเร็จรูป
2. ออกกำลังกายเป็นประจำ:
- เลือกกิจกรรมที่เหมาะสมกับสภาพร่างกาย เช่น เดิน ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน เต้นแอโรบิค หรือเล่นโยคะ
- เริ่มต้นจากการออกกำลังกายเบาๆ ค่อยๆ เพิ่มระยะเวลาและความหนักหน่วง
- ควรออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์
- แบ่งออกกำลังกายเป็น 30 นาที 5 วัน หรือ 60 นาที 3 วันต่อสัปดาห์ก็ได้
- หากมีโรคประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มออกกำลังกาย
3. ควบคุมน้ำหนัก:
- รักษาให้น้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์ปกติ โดยคำนวณจากดัชนีมวลกาย (BMI)
- ดัชนีมวลกาย (BMI) ที่เหมาะสม อยู่ที่ 18.5 – 22.9
- BMI เกิน 23 ถือว่าน้ำหนักเกิน
- BMI เกิน 25 ถือว่าอ้วน
- สามารถคำนวณ BMI ได้ที่ <URL ที่ไม่ถูกต้องถูกนำออกแล้ว>
4. งดสูบบุหรี่:
- การสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อโรคหัวใจ
- ควรเลิกสูบบุหรี่ให้เด็ดขาด
- มีหลายวิธีช่วยเลิกสูบบุหรี่ เช่น การใช้ยา การให้คำปรึกษา และการบำบัดพฤติกรรม
5. ควบคุมความเครียด:
- หาวิธีผ่อนคลายความเครียด เช่น ฝึกโยคะ นั่งสมาธิ ฟังเพลง หรือทำกิจกรรมที่ชื่นชอบ
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อวัน
- ฝึกเทคนิคการหายใจเพื่อลดความเครียด
- พูดคุยกับคนสนิทหรือครอบครัว
เพิ่มเติม:
- ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี เพื่อติดตามความเสี่ยงและป้องกันโรคหัวใจ
- ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
- ควบคุมระดับความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- ควบคุมระดับไขมันในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ