ไข้หวัดใหญ่
ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ ซึ่งสามารถติดต่อกันได้ผ่านการหายใจเอาละอองฝอยที่ผู้ป่วยไอหรือจาม การสัมผัสสารคัดหลั่งจากผู้ป่วยที่ไอหรือจาม เช่น น้ำมูก น้ำลาย การสัมผัสมือที่สกปรกแล้วเอามาสัมผัสตา จมูก หรือปาก และทางอ้อมจากการสัมผัสพื้นผิวหรือสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อแล้วมาสัมผัสตา จมูก หรือปาก
อาการของไข้หวัดใหญ่มักเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน โดยมักมีอาการไข้สูง ไอ จาม ปวดเมื่อยตามร่างกาย อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน อาการของไข้หวัดใหญ่อาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัว
การป้องกันไข้หวัดใหญ่ที่ดีที่สุดคือ การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ซึ่งควรฉีดทุกปีในช่วงฤดูหนาวหรือฤดูฝน เพราะวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่จะช่วยลดความรุนแรงและระยะเวลาของโรคได้
รายละเอียดเพิ่มเติม
- ไข้หวัดใหญ่มี 4 สายพันธุ์หลัก ได้แก่ A, B, C และ D สายพันธุ์ A และ B เป็นสายพันธุ์ที่พบบ่อยที่สุดในประเทศไทย
- ไข้หวัดใหญ่สามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วผ่านทางละอองฝอยที่ผู้ป่วยไอหรือจาม ซึ่งอาจลอยอยู่ในอากาศเป็นเวลาหลายชั่วโมง
- ผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่สามารถแพร่เชื้อได้ตั้งแต่ 1 วันก่อนเริ่มมีอาการไปจนถึง 5 วันหลังจากเริ่มมีอาการ
- ไข้หวัดใหญ่อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น ปอดบวม ภาวะหายใจล้มเหลว โรคหลอดเลือดสมอง ภาวะหัวใจล้มเหลว และเสียชีวิต
การรักษาไข้หวัดใหญ่
- การรักษาไข้หวัดใหญ่ส่วนใหญ่จะเป็นการรักษาตามอาการ เช่น การรับประทานยาลดไข้ ยาแก้ไอ ยาแก้คัดจมูก เป็นต้น
- ผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ควรพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำให้มากๆ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
- หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรง ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างทันท่วงที
โรคมือเท้าปาก
โรคมือเท้าปากเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสเอนเทอโรไวรัส 71 (Enterovirus 71) ซึ่งสามารถติดต่อกันได้จากการสัมผัสสารคัดหลั่งจากผู้ป่วยที่ไอหรือจาม เช่น น้ำมูก น้ำลาย การสัมผัสมือที่สกปรกแล้วเอามาสัมผัสตา จมูก หรือปาก และทางอ้อมจากการสัมผัสพื้นผิวหรือสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อแล้วมาสัมผัสตา จมูก หรือปาก
อาการของโรคมือเท้าปากมักเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน โดยมักมีอาการไข้สูง เจ็บคอ ไม่อยากอาหาร ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน และจะมีตุ่มพองใสขึ้นที่บริเวณมือ เท้า ฝ่ามือ ฝ่าเท้า และบริเวณปาก
อาการของโรคมือเท้าปากอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะในเด็กเล็กและเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี เด็กที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือเด็กที่มีโรคประจำตัว
การป้องกันโรคมือเท้าปากที่ดีที่สุดคือ การล้างมือให้สะอาดบ่อย ๆ โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหารและหลังเข้าห้องน้ำ การไม่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย และหลีกเลี่ยงการสัมผัสสารคัดหลั่งจากผู้ป่วย
รายละเอียดเพิ่มเติม
- โรคมือเท้าปากมักพบในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี
- โรคมือเท้าปากสามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วผ่านทางสารคัดหลั่งจากผู้ป่วยที่ไอหรือจาม
- ผู้ป่วยโรคมือเท้าปากสามารถแพร่เชื้อได้ตั้งแต่ 1 วันก่อนเริ่มมีอาการไปจนถึง 1 สัปดาห์หลังจากเริ่มมีอาการ
- โรคมือเท้าปากอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น สมองอักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ และเสียชีวิต
การรักษาโรคมือเท้าปาก
- การรักษาโรคมือเท้าปากส่วนใหญ่จะเป็นการรักษาตามอาการ เช่น การรับประทานยาลดไข้ ยาแก้ปวด ยาแก้คัน เป็นต้น
- ผู้ป่วยโรคมือเท้าปากควรพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำให้มากๆ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
- หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรง ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างทันท่วงที
โรคไข้เลือดออก
โรคไข้เลือดออกเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี่ (Dengue virus) ซึ่งสามารถติดต่อกันได้ผ่านการกัดของยุงลายตัวเมีย
ยุงลายตัวเมียจะกัดคนในเวลากลางวัน เชื้อโรคจะอยู่ในต่อมน้ำลายของยุงลาย ซึ่งจะแพร่เชื้อให้กับคนที่ถูกกัด ยุงลายตัวเมียจะแพร่เชื้อได้หลังจากติดเชื้อไวรัสเดงกี่ไปแล้ว 5-8 วัน และสามารถแพร่เชื้อได้นานถึง 2 สัปดาห์
อาการของโรคไข้เลือดออกมักเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน โดยมักมีอาการไข้
โรคไข้เลือดออกเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี่ (Dengue virus) ซึ่งสามารถติดต่อกันได้ผ่านการกัดของยุงลายตัวเมีย
ยุงลายตัวเมียจะกัดคนในเวลากลางวัน เชื้อโรคจะอยู่ในต่อมน้ำลายของยุงลาย ซึ่งจะแพร่เชื้อให้กับคนที่ถูกกัด ยุงลายตัวเมียจะแพร่เชื้อได้หลังจากติดเชื้อไวรัสเดงกี่ไปแล้ว 5-8 วัน และสามารถแพร่เชื้อได้นานถึง 2 สัปดาห์
อาการของโรคไข้เลือดออกมักเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน โดยมักมีอาการไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย อาเจียน อาจมีจุดเลือดออกตามผิวหนัง ตาแดง
โรคไข้เลือดออกอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัว
รายละเอียดเพิ่มเติม
- โรคไข้เลือดออกมี 4 สายพันธุ์หลัก ได้แก่ DENV-1, DENV-2, DENV-3 และ DENV-4
- โรคไข้เลือดออกสามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วผ่านทางยุงลายตัวเมีย
- ผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกสามารถแพร่เชื้อได้ตั้งแต่ 1 วันก่อนเริ่มมีอาการไปจนถึง 5 วันหลังจากเริ่มมีอาการ
- โรคไข้เลือดออกอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น ภาวะช็อกจากไข้เลือดออก ภาวะเลือดออกในสมอง ภาวะหัวใจล้มเหลว และเสียชีวิต
การรักษาโรคไข้เลือดออก
- โรคไข้เลือดออกไม่มียารักษาเฉพาะเจาะจง
- การรักษาโรคไข้เลือดออกส่วนใหญ่จะเป็นการรักษาตามอาการ เช่น การรับประทานยาลดไข้ ยาแก้ปวด การให้น้ำเกลือ เป็นต้น
- ผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกควรพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำให้มากๆ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
- หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรง ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างทันท่วงที
การรักษาโรคไข้เลือดออกแบบเร่งด่วน
ในกรณีของผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกที่มีอาการรุนแรง เช่น มีไข้สูงเกิน 40 องศาเซลเซียส มีอาการช็อกจากไข้เลือดออก หรือมีอาการเลือดออกในสมอง แพทย์อาจจำเป็นต้องให้การรักษาแบบเร่งด่วน เช่น
- การใส่ท่อช่วยหายใจเพื่อรักษาทางเดินหายใจ
- การใส่สายสวนหลอดเลือดดำขนาดใหญ่เพื่อให้ยาและน้ำเกลือ
- การถ่ายเลือดเพื่อทดแทนเลือดที่เสียไป
- การฟอกเลือดเพื่อกำจัดสารพิษในเลือด
การป้องกันโรคไข้เลือดออก
การป้องกันโรคไข้เลือดออกที่ดีที่สุดคือการป้องกันยุงลายกัด โดยสามารถทำได้ดังนี้
- เปลี่ยนน้ำในภาชนะใส่น้ำทุกสัปดาห์
- ปิดฝาภาชนะที่มีน้ำขัง
- ตัดหญ้าให้สั้น
- ฉีดพ่นยากำจัดยุงลาย
นอกจากนี้ ผู้ปกครองควรดูแลสุขภาพของเด็กๆ ให้แข็งแรงอยู่เสมอ โดยกินอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วย
ข้อแนะนำสำหรับผู้ปกครอง
- ดูแลสุขภาพของเด็กๆ ให้แข็งแรงอยู่เสมอ โดยกินอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วย
- ป้องกันยุงลายกัด