ประโยชน์ของวิตามินดีต่อกระดูกและฟัน
วิตามินดีช่วยดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการสร้างกระดูกและฟันที่แข็งแรง ช่วยให้กระดูกและฟันมีความหนาแน่นและแข็งแรง ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนและกระดูกหัก
กลไกการทำงานของวิตามินดีต่อกระดูกและฟัน
วิตามินดีทำงานร่วมกับแคลเซียมและฟอสฟอรัสในกระบวนการสร้างกระดูกและฟัน โดยวิตามินดีจะช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์สร้างกระดูก (osteoblast) และยับยั้งการทำงานของเซลล์สลายกระดูก (osteoclast) ทำให้กระดูกและฟันมีความหนาแน่นและแข็งแรง
โรคที่อาจเกิดขึ้นจากการขาดวิตามินดี
โรคที่อาจเกิดขึ้นจากการขาดวิตามินดี ได้แก่ โรคกระดูกพรุน โรคกระดูกบาง โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
คำแนะนำในการได้รับวิตามินดีสำหรับกระดูกและฟัน
ผู้ใหญ่อายุ 19 ปีขึ้นไป ควรได้รับวิตามินดีอย่างน้อย 15 ไมโครกรัม (mcg) ต่อวัน ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพบางประการ เช่น โรคกระดูกพรุน โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ อาจจำเป็นต้องได้รับวิตามินดีในปริมาณที่มากกว่าปกติ โดยควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานวิตามินดีเสริม
แหล่งวิตามินดีสำหรับกระดูกและฟัน
แหล่งวิตามินดีที่สำคัญ ได้แก่ แสงแดด ปลาทะเล ไข่แดง ตับ เห็ด และนมเสริมวิตามินดี
การได้รับวิตามินดีจากแสงแดด
ร่างกายจะผลิตวิตามินดีได้เมื่อผิวหนังสัมผัสกับแสงแดด ประมาณ 10-15 นาทีต่อวัน ในช่วงเช้าหรือเย็น แสงแดดอ่อนๆ ในช่วงเช้าหรือเย็นจะให้วิตามินดีมากกว่าแสงแดดแรงๆ ในช่วงกลางวัน
การได้รับวิตามินดีจากอาหาร
ปลาทะเล เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาซาดีน เป็นอาหารที่มีวิตามินดีสูง ไข่แดง ตับ เห็ด และนมเสริมวิตามินดี ก็เป็นแหล่งวิตามินดีที่ดีเช่นกัน
ข้อควรระวังในการได้รับวิตามินดี
การได้รับวิตามินดีมากเกินไปอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย หัวใจเต้นเร็ว ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำมาก ปวดกล้ามเนื้อ ตะคริว และอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งบางชนิด
สรุป
วิตามินดีมีความสำคัญต่อการสร้างกระดูกและฟันที่แข็งแรง โดยผู้ที่มีปัญหาสุขภาพบางประการ เช่น โรคกระดูกพรุน โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ อาจจำเป็นต้องได้รับวิตามินดีในปริมาณที่มากกว่าปกติ โดยควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานวิตามินดีเสริม
