โรคไอกรน เป็นโรคติดต่อในระบบทางเดินหายใจที่เกิดจากแบคทีเรีย Bordetella pertussis โรคนี้ทำให้เกิดอาการไออย่างรุนแรงและอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้ โรคไอกรนสามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีน
อาการของโรคไอกรน
อาการของโรคไอกรนจะแตกต่างกันไปตามระยะของโรค
ระยะฟักตัว
ระยะฟักตัวคือช่วงเวลาระหว่างที่สัมผัสเชื้อโรคกับเริ่มมีอาการ ระยะฟักตัวของโรคไอกรนจะอยู่ที่ประมาณ 7-14 วัน
ระยะก่อนไอ
ระยะก่อนไอจะมีอาการคล้ายไข้หวัด เช่น ไอแห้งๆ จาม มีน้ำมูก อาจมีไข้ต่ำๆ
ระยะไอ
ระยะไอจะเป็นระยะที่มีอาการรุนแรงที่สุด ผู้ป่วยจะมีอาการไอรุนแรงเป็นชุดๆ แต่ละชุดจะมีตั้งแต่ 5-10 ครั้ง หรือมากกว่านั้น ผู้ป่วยจะไอจนหายใจไม่ทัน และมักจะมีเสียงไอดัง “วู๊ป” ในตอนท้ายของชุดการไอ ผู้ป่วยอาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น อาเจียน ปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย
ระยะฟื้นตัว
ระยะฟื้นตัวจะเริ่มหลังจากที่อาการไอเริ่มดีขึ้น ผู้ป่วยอาจมีอาการไอหลงเหลืออยู่ได้หลายสัปดาห์
ภาวะแทรกซ้อนของโรคไอกรน
โรคไอกรนอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่
- ปอดบวม
- เยื่อหุ้มสมองอักเสบ
- เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ
- โรคหูชั้นกลางอักเสบ
- เลือดออกในสมอง
- เสียชีวิต
การป้องกันโรคไอกรน
โรคไอกรนสามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีน วัคซีนป้องกันโรคไอกรนจะรวมอยู่ในวัคซีนรวม DTaP ซึ่งประกอบด้วยวัคซีนป้องกันโรคคอตีบ ไอกรน และบาดทะยัก วัคซีน DTaP แนะนำให้ฉีด 5 ครั้งดังนี้
- ครั้งแรก ทารกอายุ 2 เดือน
- ครั้งที่สอง ทารกอายุ 4 เดือน
- ครั้งที่สาม ทารกอายุ 6 เดือน
- ครั้งที่สี่ อายุ 15-18 เดือน
- ครั้งที่ห้า อายุ 4-6 ปี
การรักษาโรคไอกรน
การรักษาโรคไอกรนมักเป็นการรักษาตามอาการ เช่น
- ให้ยาแก้ไอ
- ให้ยาลดไข้
- ให้ยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อโรค
นอกจากนี้ ผู้ป่วยควรพักผ่อนให้เพียงพอ และดื่มน้ำให้มาก