โรคพิษสุนัขบ้า (Rabies) เป็นโรคติดต่อร้ายแรงจากสัตว์สู่คน เกิดจากเชื้อไวรัสพิษสุนัขบ้า (Rabies virus) ที่สามารถพบได้ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายชนิด เช่น สุนัข แมว ค้างคาว ลิง หนู เป็นต้น
สาเหตุของโรคพิษสุนัขบ้า
โรคพิษสุนัขบ้าเกิดจากเชื้อไวรัสพิษสุนัขบ้า (Rabies virus) ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสในตระกูล Lyssavirus เชื้อไวรัสพิษสุนัขบ้าสามารถพบได้ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายชนิด เช่น สุนัข แมว ค้างคาว ลิง หนู เป็นต้น สัตว์ที่ติดเชื้อพิษสุนัขบ้าจะแสดงอาการทางระบบประสาทและสมอง เช่น หงุดหงิด ก้าวร้าว น้ำลายไหลมาก กลัวน้ำ เป็นต้น
การติดต่อของโรคพิษสุนัขบ้า
เชื้อโรคพิษสุนัขบ้าจะเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผลที่ผิวหนังหรือเยื่อบุ ซึ่งอาจเกิดจากการถูกกัด ข่วน หรือเลีย โดยเชื้อโรคจะเดินทางผ่านระบบประสาทส่วนปลายไปยังสมองและไขสันหลัง จากนั้นจะทำลายเซลล์ประสาทและสมอง ทำให้เกิดอาการทางระบบประสาทและสมองตามมา
ระยะฟักตัวของโรคพิษสุนัขบ้า
ระยะฟักตัวของโรคพิษสุนัขบ้าคือระยะเวลาตั้งแต่ได้รับเชื้อจนถึงเริ่มแสดงอาการ ระยะฟักตัวของโรคพิษสุนัขบ้าอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 2-8 สัปดาห์ แต่อาจเร็วกว่านั้นในเด็กเล็กหรือผู้ที่ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
อาการของโรคพิษสุนัขบ้า
อาการของโรคพิษสุนัขบ้าจะแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้
- ระยะแรก ผู้ป่วยอาจมีอาการคล้ายกับอาการของโรคไข้หวัดใหญ่ เช่น มีไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย เป็นต้น อาการอาจอยู่ได้นานหลายวัน
- ระยะที่สอง ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการทางระบบประสาทและสมอง เช่น ปวดศีรษะมากขึ้น ชาหรืออ่อนแรงที่ใบหน้า แขนขา กลัวน้ำ คลื่นไส้อาเจียน ชัก เป็นต้น
- ระยะสุดท้าย ผู้ป่วยจะหมดสติและเสียชีวิต
การรักษาโรคพิษสุนัขบ้า
โรคพิษสุนัขบ้ายังไม่มียารักษาที่ได้ผล การรักษาในปัจจุบันจะมุ่งเน้นไปที่การบรรเทาอาการและป้องกันไม่ให้เชื้อโรคแพร่กระจายไปยังผู้อื่น โดยผู้ป่วยจะได้รับการรักษาในโรงพยาบาลและควรแยกตัวจากผู้อื่น
การป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า
การป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าที่ดีที่สุดคือ การหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์ป่าหรือสัตว์เลี้ยงที่ไม่ทราบประวัติการฉีดวัคซีน หากถูกสัตว์กัดหรือถูกเลีย ให้รีบล้างแผลด้วยสบู่และน้ำสะอาดให้สะอาดและลึกถึงบาดแผล จากนั้นรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า
คำแนะนำเพิ่มเติม
นอกจากการป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าด้วยการหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์ป่าหรือสัตว์เลี้ยงที่ไม่ทราบประวัติการฉีดวัคซีนแล้ว ยังมีคำแนะนำเพิ่มเติมดังนี้
- ไม่ควรเลี้ยงสุนัขหรือแมวที่ไม่ทราบประวัติการฉีดวัคซีน
- หากจำเป็นต้องเลี้ยงสุนัขหรือแมว ควรพาไปฉีดวัคซีนเป็นประจำ
- สอนเด็กๆ ให้รู้จักหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์ป่าหรือสัตว์เลี้ยงที่ไม่ทราบประวัติการฉีดวัคซีน
- หากถูกสัตว์กัดหรือถูกเลีย ให้รีบล้างแผลด้วยสบู่และน้ำสะอาดให้สะอาดและลึกถึงบาดแผล จากนั้นรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า