เครื่องถอนขนเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการกำจัดขน โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ เครื่องถอนขนแบบชั่วคราวและเครื่องกำจัดขนแบบถาวร
เครื่องถอนขนแบบชั่วคราว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกำจัดขนแบบรวดเร็วและประหยัดค่าใช้จ่าย ใช้เวลาในการถอนขนไม่นาน ขนจะงอกใหม่ประมาณ 1-2 สัปดาห์
เครื่องกำจัดขนแบบถาวร เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกำจัดขนแบบถาวร ใช้เวลาในการกำจัดขนประมาณ 6-8 สัปดาห์ ขนจะงอกใหม่น้อยลงและอ่อนแอลง
1. Kemei KM-2668
- ข้อดี:
- ถอนขนและโกนขนได้ในตัว
- ใช้งานง่ายด้วยปุ่มเดียว
- หัวถอนขนเป็นแบบโรตารี่ 360 องศา
- ถอดล้างได้
- มาพร้อมไฟฉายในตัว
- ข้อเสีย:
- หัวถอนขนอาจไม่เหมาะกับขนแข็งมากนัก
- ราคา: 299 บาท
2. Keda KD-175
- ข้อดี:
- ใช้งานง่ายด้วยปุ่มเดียว
- หัวถอนขนเป็นแบบโรตารี่ 360 องศา
- ถอดล้างได้
- มาพร้อมไฟฉายในตัว
- ข้อเสีย:
- แบตเตอรี่อาจไม่ทนทานเท่ารุ่นอื่น ๆ
- ราคา: 269 บาท
3. Missai XM-05
- ข้อดี:
- พกพาสะดวก
- ใช้งานง่ายด้วยปุ่มเดียว
- หัวถอนขนเป็นแบบโรตารี่ 360 องศา
- ถอดล้างได้
- มาพร้อมไฟฉายในตัว
- ข้อเสีย:
- แบตเตอรี่อาจไม่ทนทานเท่ารุ่นอื่น ๆ
- ราคา: 299 บาท
4. Luccica IPL
- ข้อดี:
- กำจัดขนถาวร
- ใช้งานง่าย
- ปลอดภัย
- เหมาะกับทุกสภาพผิว
- ข้อเสีย:
- ราคาสูง
- ต้องใช้ระยะเวลาในการกำจัดขนถาวร
- ราคา: 1,885 บาท
5. Philips Satinelle Essential
- ข้อดี:
- ถอนขนได้เกลี้ยง
- หัวถอนขนเป็นแบบโรตารี่ 360 องศา
- ถอดล้างได้
- มาพร้อมไฟฉายในตัว
- แบตเตอรี่ทนทาน
- ข้อเสีย:
- ราคาสูง
- ราคา: 1,299 บาท
สรุปแล้ว การเลือกเครื่องถอนขนควรพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้:
- ประเภทของขน ขนอ่อนจะถอนได้ง่ายกว่าขนแข็ง
- ความถี่การใช้งาน ถ้าคุณใช้งานบ่อย ควรเลือกเครื่องถอนขนแบบไร้สายเพื่อความสะดวก
- งบประมาณ เครื่องถอนขนมีราคาตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักพันบาท เลือกให้เหมาะสมกับงบประมาณของคุณ
- ความต้องการ คุณต้องการกำจัดขนถาวรหรือถอนขนชั่วคราว