เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2566 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ปิดตลาดด้วยดัชนี SET ที่ 1,379.21 จุด ลดลง 30.77 จุด (-2.19%) มูลค่าการซื้อขาย 58,425 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2563 โดยแรงขายกดดันตลาดหุ้นไทยในวันนี้มาจากปัจจัยลบทั้งภายในและภายนอกประเทศ ได้แก่
- ปัจจัยภายในประเทศ ได้แก่ ความกังวลต่อสถานการณ์ทางการเมืองหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล รวมถึงความกังวลต่อทิศทางเศรษฐกิจไทยที่อาจชะลอตัวลงจากปัจจัยต่างๆ เช่น สงครามในยูเครน ค่าเงินบาทที่อ่อนค่า และอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น
- ปัจจัยภายนอกประเทศ ได้แก่ ความกังวลต่อแนวโน้มการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ที่จะส่งผลต่อต้นทุนการกู้ยืมเงินของภาคธุรกิจและผู้บริโภคทั่วโลก รวมถึงความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง
นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงในวันนี้เป็นผลมาจากปัจจัยลบทั้งภายในและภายนอกประเทศ ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และพร้อมที่จะร่วมมือกับภาครัฐและภาคเอกชนในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน
สำหรับแนวโน้มของตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปี 2566 นายภากรคาดว่า ตลาดหุ้นไทยยังคงเผชิญกับปัจจัยกดดันจากทั้งภายในและภายนอกประเทศ อย่างไรก็ตาม ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังคงมั่นใจว่าตลาดหุ้นไทยมีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง โดยบริษัทจดทะเบียนไทยมีความสามารถในการปรับตัวรับกับสถานการณ์ต่างๆ ได้ดี รวมถึงมีปัจจัยบวกสนับสนุนจากการลงทุนภาครัฐและภาคเอกชน
โดยสรุป ปัจจัยที่กดดันตลาดหุ้นไทยในวันนี้ ได้แก่
- ความกังวลต่อสถานการณ์ทางการเมือง
- ความกังวลต่อทิศทางเศรษฐกิจไทย
- ความกังวลต่อแนวโน้มการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed
- ความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง
ความกังวลต่อสถานการณ์ทางการเมือง
การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในวันที่ 20 ตุลาคม 2566 ส่งผลให้นักลงทุนเกิดความกังวลต่อเสถียรภาพของรัฐบาลและอาจนำไปสู่ความวุ่นวายทางการเมืองในอนาคต ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนและเศรษฐกิจของประเทศ
ความกังวลต่อทิศทางเศรษฐกิจไทย
สงครามในยูเครน ค่าเงินบาทที่อ่อนค่า และอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อทิศทางเศรษฐกิจไทย โดยสงครามในยูเครนอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าอาจส่งผลต่อต้นทุนการนำเข้าสินค้าและวัตถุดิบ และอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค
ความกังวลต่อแนวโน้มการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed
ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) มีแนวโน้มที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งอาจส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมเงินของภาคธุรกิจและผู้บริโภคทั่วโลกสูงขึ้น และอาจส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ
ความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง
ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ที่ทวีความรุนแรงขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภูมิภาคตะวันออกกลางและอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกด้วย
สำหรับแนวโน้มของตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปี 2566 คาดว่า ตลาดหุ้นไทยยังคงเผชิญกับปัจจัยกดดันจากทั้งภายในและภายนอกประเทศ อย่างไรก็ตาม ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังคงมั่นใจว่าตลาดหุ้นไทยมีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง โดยบริษัทจดทะเบียนไทยมีความสามารถในการปรับตัวรับกับสถานการณ์ต่างๆ ได้ดี รวมถึงมีปัจจัยบวกสนับสนุนจากการลงทุนภาครัฐและภาคเอกชน
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่กดดันตลาดหุ้นไทยในระยะสั้น ได้แก่
- ความกังวลต่อสถานการณ์ทางการเมือง
- ความกังวลต่อทิศทางเศรษฐกิจไทย
- ความกังวลต่อแนวโน้มการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed
สำหรับปัจจัยที่อาจส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นไทยในระยะยาว ได้แก่
- การลงทุนภาครัฐและภาคเอกชน
- การเติบโตของกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ เช่น เทคโนโลยีและดิจิทัล
- การเปิดประเทศ
นักลงทุนควรติดตามสถานการณ์ต่างๆ อย่างใกล้ชิด และพิจารณาปัจจัยต่างๆ อย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน