หุ้นไทยน่าซื้อในปี 2566 ดังนี้
หุ้นกลุ่มพลังงาน
หุ้นกลุ่มพลังงานได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลให้อุปทานน้ำมันโลกลดลง ส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น
หุ้นกลุ่มพลังงานที่น่าสนใจ ได้แก่
- PTT
- PTTEP
- BANPU
- BCP
หุ้นกลุ่มการเงิน
หุ้นกลุ่มการเงินได้รับประโยชน์จากแนวโน้มเศรษฐกิจฟื้นตัว เนื่องจากประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ความต้องการสินเชื่อเพิ่มขึ้น
หุ้นกลุ่มการเงินที่น่าสนใจ ได้แก่
- KBANK
- BBL
- SCB
- CIMBT
หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์
หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ได้รับประโยชน์จากความต้องการที่อยู่อาศัยที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากประเทศไทยมีอัตราการเกิดที่สูง และประชากรมีรายได้เพิ่มขึ้น
หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่น่าสนใจ ได้แก่
- SC
- LH
- AP
- QH
หุ้นกลุ่มค้าปลีก
หุ้นกลุ่มค้าปลีกได้รับประโยชน์จากกำลังซื้อของประชาชนที่ฟื้นตัว เนื่องจากประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น และเศรษฐกิจฟื้นตัว
หุ้นกลุ่มค้าปลีกที่น่าสนใจ ได้แก่
- CPALL
- MAKRO
- CRC
- HMPRO
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีได้รับประโยชน์จากการเติบโตของเทคโนโลยีดิจิทัล เนื่องจากความต้องการเทคโนโลยีดิจิทัลเพิ่มขึ้น
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่น่าสนใจ ได้แก่
- COM7
- JMT
- JMART
- KCE
หุ้นขนาดเล็กและกลาง
หุ้นขนาดเล็กและกลาง (Small-cap และ Mid-cap) มีโอกาสเติบโตได้ดีในปี 2566 เนื่องจากมีมูลค่าที่ถูกกว่าหุ้นขนาดใหญ่ (Large-cap) และมีโอกาสเติบโตสูงกว่าหุ้นขนาดใหญ่
หุ้นขนาดเล็กและกลางที่น่าสนใจ ได้แก่
- BE8
- ONEE
- MC
- ZEN
- SAPPE
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลของบริษัทและปัจจัยต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อ
ราคาหุ้นอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน
ต่อไปนี้เป็นปัจจัยเฉพาะของบริษัทที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจลงทุนในหุ้น:
- ปัจจัยพื้นฐานของบริษัท เช่น กำไร รายได้ หนี้สิน กระแสเงินสด
- แนวโน้มการเติบโตของบริษัท
- คู่แข่งของบริษัท
- ปัจจัยภายนอก เช่น เศรษฐกิจ การเมือง เทคโนโลยี
ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลของบริษัทอย่างรอบคอบ เพื่อประเมินว่าบริษัทมีปัจจัยพื้นฐานที่ดีและมีโอกาสเติบโตในอนาคตหรือไม่