แหล่งที่มาของวิตามินดี 3
วิตามินดี 3 สามารถหาได้จาก 2 แหล่งหลัก คือ
- แสงแดด รังสี UVB ในแสงแดดจะช่วยกระตุ้นให้ผิวหนังสังเคราะห์วิตามินดี 3 ขึ้นได้ ระยะเวลาในการสัมผัสแสงแดดที่เหมาะสมต่อร่างกายคือ 15-30 นาที โดยไม่ใส่เสื้อผ้าที่ปกคลุมร่างกายมากเกินไป โดยควรเป็นช่วงเวลาก่อน 10 โมงเช้า หรือหลัง 4 โมงเย็น เพื่อให้ได้รับรังสี UVB ในระดับที่เหมาะสม
- อาหาร อาหารบางชนิดที่มีไขมันสูง เช่น ไข่แดง ตับ นม เนย ปลาซาดีน และปลาทูน่า เป็นต้น เป็นแหล่งของวิตามินดี 3 เช่นกัน แต่ปริมาณวิตามินดี 3 ในอาหารเหล่านี้มีไม่มากนัก จึงต้องรับประทานในปริมาณที่มากจึงจะได้ปริมาณวิตามินดี 3 ที่เพียงพอ
ประโยชน์ต่อกระดูกและฟัน
วิตามินดี 3 มีหน้าที่สำคัญในการช่วยดูดซึมแคลเซียมจากลำไส้เข้าสู่ร่างกาย ทำให้แคลเซียมสามารถนำไปใช้สร้างกระดูกและฟันที่แข็งแรงได้ หากร่างกายขาดวิตามินดี 3 อาจส่งผลให้กระดูกอ่อนแอ เปราะหักง่าย และฟันผุได้
ประโยชน์ต่อระบบภูมิคุ้มกัน
วิตามินดี 3 มีส่วนช่วยในการกระตุ้นการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับเชื้อโรคและแบคทีเรียได้ดียิ่งขึ้น จึงช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคติดเชื้อต่าง ๆ เช่น ไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัด โรคปอดบวม เป็นต้น
ประโยชน์ต่อระบบประสาท
วิตามินดี 3 มีส่วนช่วยในการหลั่งสารเซโรโทนิน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ หากร่างกายขาดวิตามินดี 3 อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคซึมเศร้า
ประโยชน์ต่อโรคเรื้อรัง
การศึกษาพบว่า วิตามินดี 3 อาจมีประโยชน์ต่อโรคเรื้อรังบางชนิด เช่น
- โรคหัวใจและหลอดเลือด
- โรคเบาหวาน
- โรคมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก เป็นต้น
- โรคข้ออักเสบ
ผู้ที่เสี่ยงขาดวิตามินดี 3
ผู้ที่เสี่ยงขาดวิตามินดี 3 ได้แก่
- ผู้สูงอายุ
- ผู้ที่อาศัยอยู่ในเขตที่มีแสงแดดน้อย
- ผู้ที่ทำงานในที่ร่มตลอดเวลา
- ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพบางชนิด เช่น โรคไต โรคมะเร็ง โรคลำไส้อักเสบ เป็นต้น
อาการของภาวะขาดวิตามินดี 3
อาการของภาวะขาดวิตามินดี 3 มักไม่ชัดเจน และอาจไม่แสดงอาการใด ๆ เลย แต่หากมีอาการอาจรวมถึง
- กระดูกอ่อนแอ
- กระดูกพรุน
- ฟันผุ
- ปวดกล้ามเนื้อ
- อ่อนเพลีย
- ซึมเศร้า
- ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
คำแนะนำในการรับประทานวิตามินดี 3
ปริมาณวิตามินดี 3 ที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันขึ้นอยู่กับอายุและปัจจัยอื่น ๆ เช่น ระดับวิตามินดีในเลือด ความเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุน เป็นต้น โดยทั่วไป ผู้ใหญ่ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ควรได้รับวิตามินดี 3 อย่างน้อย 15 ไมโครกรัม (mcg) ต่อวัน
ผู้ที่สงสัยว่าอาจขาดวิตามินดี 3 ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจระดับวิตามินดีในเลือด หากพบว่าระดับวิตามินดีต่ำ อาจจำเป็นต้องรับประทานวิตามินดีเสริม อย่างไรก็ตาม ไม่ควรรับประทานวิตามินดีเสริมโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เนื่องจากอาจได้รับวิตามินดีมากเกินไปได้ ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้