ประโยชน์ต่อสุขภาพ
การลดกินเค็มมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมายดังที่กล่าวไว้ข้างต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการช่วยลดความดันโลหิต ซึ่งความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไต โรคหัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมอง และโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
นอกจากนี้ การลดกินเค็มยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคอื่นๆ เช่น โรคกระดูกพรุน โรคกระเพาะอาหาร และโรคมะเร็งบางชนิด
คำแนะนำในการลดกินเค็ม
ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำในการลดกินเค็มอย่างละเอียด
- อ่านฉลากโภชนาการก่อนเลือกซื้ออาหาร อาหารแปรรูปส่วนใหญ่มักมีโซเดียมสูง เช่น อาหารกระป๋อง อาหารสำเร็จรูป ขนมขบเคี้ยว น้ำอัดลม ซอสต่างๆ ควรเลือกซื้ออาหารที่มีโซเดียมต่ำหรือปราศจากโซเดียม
- ปรุงอาหารเองที่บ้าน จะได้ควบคุมปริมาณโซเดียมในอาหารได้ เช่น เลือกซื้อวัตถุดิบสดใหม่ ไม่ใส่เกลือหรือเครื่องปรุงรสที่มีโซเดียมสูง
- ลดการเติมเกลือหรือเครื่องปรุงรสที่มีโซเดียมสูง ควรใช้เครื่องเทศหรือสมุนไพรแทนเกลือเพื่อเพิ่มรสชาติของอาหาร เช่น พริกไทย กระเทียม พริก ใบโหระพา ใบมะกรูด ผักชีฝรั่ง
- ชิมอาหารก่อนปรุงรส เพื่อไม่ให้ปรุงรสมากเกินไป
วิธีลดกินเค็ม
การลดกินเค็มอาจเป็นเรื่องยากในตอนแรก แต่หากค่อยๆ ลดปริมาณโซเดียมลงในแต่ละวัน ร่างกายก็จะปรับตัวได้ และคุณจะรู้สึกสบายตัวขึ้นโดยไม่ต้องกินเค็มมาก
ต่อไปนี้เป็นวิธีลดกินเค็มอย่างค่อยเป็นค่อยไป
- สัปดาห์ที่ 1-2 ลดปริมาณโซเดียมลง 250 มิลลิกรัมต่อวัน
- สัปดาห์ที่ 3-4 ลดปริมาณโซเดียมลง 500 มิลลิกรัมต่อวัน
- สัปดาห์ที่ 5-6 ลดปริมาณโซเดียมลง 750 มิลลิกรัมต่อวัน
- สัปดาห์ที่ 7-8 ลดปริมาณโซเดียมลง 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน
หลังจากนั้น คุณก็สามารถลดปริมาณโซเดียมลงได้อีกเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงระดับที่เหมาะสมสำหรับคุณ
ระดับโซเดียมที่แนะนำ
องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำว่าผู้ใหญ่ควรบริโภคโซเดียมไม่เกิน 2,300 มิลลิกรัมต่อวัน และผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงควรบริโภคโซเดียมไม่เกิน 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน
หากคุณกำลังพยายามลดกินเค็ม คุณสามารถปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการเพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติม