การรักษาความสะอาดให้ทั่วร่างกาย
การอาบน้ำเป็นประจำทุกวันจะช่วยขจัดเหงื่อและแบคทีเรียที่สะสมตามผิวหนังได้ ควรอาบน้ำด้วยน้ำอุ่นพอประมาณ หลีกเลี่ยงการอาบน้ำด้วยน้ำร้อนจัดเพราะจะทำให้ผิวแห้งและระคายเคือง ควรล้างบริเวณที่มีกลิ่นตัวให้สะอาดด้วยสบู่อ่อนๆ เช่น สบู่เด็ก สบู่เหลว สบู่คลีนซิ่ง เป็นต้น
ใช้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย
ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายจะช่วยป้องกันไม่ให้เหงื่อระเหยและเกิดกลิ่นตัว โดยผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายมีให้เลือกหลายประเภท เช่น โรลออน สเปรย์ ครีม เป็นต้น ควรเลือกผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายที่เหมาะกับสภาพผิวและสภาพอากาศ หากมีผิวแพ้ง่าย ควรเลือกผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกฮอล์หรือน้ำหอม
เปลี่ยนเสื้อผ้าบ่อยๆ
เสื้อผ้าที่สกปรกและอับชื้นจะเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรีย จึงควรเปลี่ยนเสื้อผ้าทุกวัน โดยเฉพาะเสื้อผ้าที่อับชื้น ควรเลือกเสื้อผ้าที่ทำจากผ้าที่ระบายอากาศได้ดี เช่น ผ้าฝ้าย ผ้าลินิน เป็นต้น
หลีกเลี่ยงการใส่เสื้อผ้าที่คับแน่น
เสื้อผ้าที่คับแน่นจะทำให้เหงื่อออกมากขึ้นและเกิดกลิ่นตัวได้ง่าย ควรเลือกเสื้อผ้าที่พอดีกับตัว ไม่คับหรือหลวมจนเกินไป
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์จะช่วยบำรุงผิวและร่างกายให้แข็งแรง รับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซีและโฟเลต เช่น ผักผลไม้ จะช่วยป้องกันไม่ให้แบคทีเรียเจริญเติบโต
ดื่มน้ำให้เพียงพอ
การดื่มน้ำให้เพียงพอจะช่วยขับสารพิษออกจากร่างกายและทำให้เหงื่อมีกลิ่นน้อยลง ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีกลิ่นฉุน
อาหารที่มีกลิ่นฉุน เช่น กระเทียม หัวหอม ปลาทู เป็นต้น อาจทำให้กลิ่นตัวรุนแรงขึ้น ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารเหล่านี้หรือหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารเหล่านี้ก่อนออกสังคม
การรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์
หากมีกลิ่นตัวรุนแรงหรือรักษาด้วยวิธีข้างต้นแล้วยังไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและรับการรักษาที่เหมาะสม สาเหตุของกลิ่นตัวที่อาจต้องได้รับการรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์ เช่น
- ภาวะต่อมเหงื่อออกมากเกินไป
- โรคผิวหนังบางชนิด
- โรคไทรอยด์
- ภาวะขาดวิตามิน
- ภาวะฮอร์โมนผิดปกติ เป็นต้น
นอกจากนี้ การรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์อาจรวมถึงการใช้ยาหรือการผ่าตัด