สาเหตุหลักของการลาออกจากงานหลังแต่งงานของผู้หญิงเกาหลีใต้ คือการดูแลบุตรแรกคลอด ซึ่งสอดคล้องกับค่านิยมทางสังคมของเกาหลีใต้ที่ยังคงให้ความสำคัญกับบทบาทของผู้หญิงในฐานะแม่มากกว่าบทบาทในฐานะคนทำงาน ผู้หญิงเกาหลีใต้มักถูกคาดหวังว่าจะลาออกจากงานเพื่อดูแลลูกแรกคลอด ซึ่งส่งผลให้อัตราการจ้างงานของผู้หญิงเกาหลีใต้อยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ใน OECD
ระบบการดูแลเด็กที่ยังไม่เพียงพอและมีคุณภาพ เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้ผู้หญิงเกาหลีใต้ลาออกจากงานหลังแต่งงาน ผู้หญิงเกาหลีใต้มักต้องเผชิญกับปัญหาในการหาสถานรับเลี้ยงเด็กที่มีคุณภาพและราคาเหมาะสม ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้หญิงตัดสินใจลาออกจากงานเพื่อดูแลลูกเอง
ทัศนคติของนายจ้างที่มีต่อผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้ผู้หญิงเกาหลีใต้ลาออกจากงานหลังแต่งงาน นายจ้างในเกาหลีใต้มักมองว่าผู้หญิงที่แต่งงานแล้วมีแนวโน้มที่จะลาออกจากงานมากกว่าผู้หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงาน ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วถูกเลือกปฏิบัติในการจ้างงาน
กฎหมายแรงงานที่ไม่เป็นมิตรกับผู้หญิง ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้ผู้หญิงเกาหลีใต้ลาออกจากงานหลังแต่งงาน กฎหมายแรงงานของเกาหลีใต้กำหนดให้ผู้หญิงมีสิทธิลาคลอดได้ 90 วัน แต่ไม่มีสิทธิลาเลี้ยงดูบุตร ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วต้องลาออกจากงานเพื่อดูแลลูก
รัฐบาลเกาหลีใต้พยายามแก้ไขปัญหาการลาออกจากงานหลังแต่งงานของผู้หญิงเกาหลีใต้ โดยออกนโยบายต่างๆ เช่น การส่งเสริมให้นายจ้างมีนโยบายที่เอื้อต่อผู้หญิงที่ทำงาน และการให้ความช่วยเหลือด้านการดูแลเด็กแก่ครอบครัวที่มีบุตร
นโยบายที่รัฐบาลเกาหลีใต้ได้ดำเนินการ ได้แก่
- กฎหมายส่งเสริมการทำงานอย่างเท่าเทียมระหว่างเพศ (Gender Equality Employment Act) ซึ่งกำหนดให้นายจ้างต้องปฏิบัติต่อพนักงานโดยไม่คำนึงถึงเพศ
- กฎหมายส่งเสริมการทำงานอย่างยืดหยุ่น (Flexible Work Act) ซึ่งอนุญาตให้พนักงานทำงานจากที่บ้านหรือทำงานนอกเวลาได้
- โครงการช่วยเหลือค่าเลี้ยงดูเด็ก (Childcare Subsidy Program) ซึ่งให้เงินช่วยเหลือแก่ครอบครัวที่มีบุตร
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงค่านิยมทางสังคมและทัศนคติของนายจ้างและสังคมโดยรวม ยังคงเป็นสิ่งสำคัญในการแก้ไขปัญหาการลาออกจากงานหลังแต่งงานของผู้หญิงเกาหลีใต้
ค่านิยมทางสังคมที่ให้ความสำคัญกับบทบาทของผู้หญิงในฐานะแม่มากกว่าบทบาทในฐานะคนทำงาน เป็นสิ่งที่ฝังรากลึกอยู่ในสังคมเกาหลีใต้มาเป็นเวลานาน การเปลี่ยนแปลงค่านิยมเหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคสังคม
ภาครัฐควรดำเนินนโยบายที่ส่งเสริมค่านิยมความเท่าเทียมทางเพศ และสนับสนุนบทบาทของผู้หญิงในฐานะคนทำงาน ภาคเอกชนควรมีนโยบายที่เอื้อต่อผู้หญิงที่ทำงาน เช่น การให้สิทธิลาเลี้ยงดูบุตร การให้สิทธิทำงานจากที่บ้าน และการให้สิทธิทำงานนอกเวลา
ภาคสังคมควรมีการรณรงค์เพื่อเปลี่ยนแปลงทัศนคติที่มีต่อผู้หญิงที่ทำงาน สังคมควรยอมรับบทบาทของผู้หญิงในฐานะคนทำงาน และสนับสนุนให้ผู้หญิงมีอิสระในการเลือกเส้นทางอาชีพของตนเอง