มะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่พบบ่อยที่สุดในผู้หญิง โดยพบผู้ป่วยมะเร็งเต้านมรายใหม่ประมาณ 160,000 รายต่อปีในประเทศไทย มะเร็งเต้านมสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ระยะตามการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง ระยะที่ 1-2 หมายถึงมะเร็งยังไม่แพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ส่วนระยะที่ 3-4 หมายถึงมะเร็งมีการแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นแล้ว
ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะแพร่กระจายมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในปัจจุบัน สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมที่ทำให้สามารถตรวจพบมะเร็งในระยะแรก ๆ ได้มากขึ้น ผู้ป่วยจึงมีโอกาสได้รับการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และมีชีวิตรอดได้นานขึ้น ส่งผลให้ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะแพร่กระจายมีจำนวนเพิ่มขึ้น
ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะแพร่กระจายมักมีอาการแสดงของโรค เช่น ปวดกระดูก อ่อนเพลีย น้ำหนักลด กระดูกหัก หรือมีเลือดออกผิดปกติ เป็นต้น แพทย์จะทำการวินิจฉัยโรคโดยการตรวจร่างกาย การตรวจเลือด การตรวจทางรังสีวิทยา และการตรวจชิ้นเนื้อ
การรักษามะเร็งเต้านมระยะแพร่กระจายมีหลายวิธี เช่น ยาเคมีบำบัด ยาต้านฮอร์โมน ยามุ่งเป้า และการรักษาด้วยรังสี เป็นต้น แพทย์จะพิจารณาเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย โดยพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น ชนิดของมะเร็ง ระดับการแพร่กระจายของโรค สุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย เป็นต้น
การรักษามะเร็งเต้านมระยะแพร่กระจายมีจุดมุ่งหมายเพื่อยืดระยะสงบของโรคและยืดอายุผู้ป่วยให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะแพร่กระจายควรได้รับการติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อประเมินผลการรักษาและปรับเปลี่ยนการรักษาตามความเหมาะสม
อาการแสดงของมะเร็งเต้านมระยะแพร่กระจาย
ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะแพร่กระจายมักมีอาการแสดงของโรค ดังนี้
- ปวดกระดูก
- อ่อนเพลีย
- น้ำหนักลด
- กระดูกหัก
- มีเลือดออกผิดปกติ
- ปัสสาวะบ่อย
- ท้องผูก
- คลื่นไส้ อาเจียน
- หายใจลำบาก
- ไอ
- เสียงแหบ
- ชาหรืออ่อนแรงตามแขนขา
- การเปลี่ยนแปลงทางจิตใจ เช่น ซึมเศร้า วิตกกังวล
อาการแสดงของโรคอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับอวัยวะที่มะเร็งแพร่กระจายไป
วิธีการวินิจฉัยมะเร็งเต้านมระยะแพร่กระจาย
แพทย์จะทำการวินิจฉัยโรคโดยการตรวจร่างกาย การตรวจเลือด การตรวจทางรังสีวิทยา และการตรวจชิ้นเนื้อ
การตรวจร่างกาย แพทย์จะตรวจดูลักษณะของก้อนมะเร็ง ตรวจดูการแพร่กระจายของมะเร็งไปยังต่อมน้ำเหลือง และตรวจดูอาการแสดงของโรค
การตรวจเลือด แพทย์จะตรวจดูระดับสารบ่งชี้มะเร็ง เช่น CA 15-3, CA 27-29 เป็นต้น
การตรวจทางรังสีวิทยา แพทย์อาจใช้วิธีตรวจต่างๆ ดังต่อไปนี้
- เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan)
- การตรวจภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI)
- การถ่ายภาพรังสีด้วยโพซิตรอนอิมิเชัน (PET scan)
การตรวจชิ้นเนื้อ แพทย์จะทำการเจาะชิ้นเนื้อจากก้อนมะเร็งหรืออวัยวะที่สงสัยว่ามีการแพร่กระจายของมะเร็ง เพื่อตรวจหาเซลล์มะเร็ง
การรักษามะเร็งเต้านมระยะแพร่กระจาย
การรักษามะเร็งเต้านมระยะแพร่กระจายมีหลายวิธี เช่น
- ยาเคมีบำบัด เป็นการใช้ยาเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็ง ยาเคมีบำบัดมักใช้ร่วมกับวิธีการรักษาอื่นๆ เช่น ยาต้านฮอร์โมนหรือยามุ่งเป้า
- ยาต้านฮอร์โมน เป็นการใช้ยาเพื่อยับยั้งการทำงานของฮอร์โมนเพศหญิง ซึ่งอาจกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านม ยาต้านฮอร์โมนมักใช้กับมะเร็งเต้านมชนิดที่มีตัวรับฮอร์โมน
- ยามุ่งเป้า เป็นการใช้ยาเพื่อยับยั้งการทำงานของยีนหรือโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ยามุ่งเป้ามักใช้กับมะเร็งเต้านมชนิดที่มียีนหรือโปรตีนผิดปกติ
- การรักษาด้วยรังสี เป็นการใช้รังสีเพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง การรักษาด้วยรังสีมักใช้ร่วมกับวิธีการรักษาอื่นๆ เช่น ยาเคมีบำบัดหรือยาต้านฮอร์โมน
แพทย์จะพิจารณาเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย โดยพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น ชนิดของมะเร็ง ระดับการแพร่กระจายของโรค สุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย เป็นต้น
การดูแลตนเองของผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะแพร่กระจาย
ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะแพร่กระจายควรดูแลตนเอง ดังนี้
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และครบถ้วนตามหลักโภชนาการ
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- ควบคุมน้ำหนัก
- งดสูบบุหรี่และดื่มสุรา
- พบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ
นอกจากนี้ ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะแพร่กระจายควรได้รับการดูแลจากทีมสหวิชาชีพ ซึ่งประกอบด้วยแพทย์ นักโภชนาการ นักกายภาพบำบัด และนักจิตวิทยา เป็นต้น เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดี
การติดตามการรักษา
ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะแพร่กระจายควรได้รับการติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อประเมินผลการรักษาและปรับเปลี่ยนการรักษาตามความเหมาะสม แพทย์อาจนัดผู้ป่วยมาพบแพทย์ทุก 3-4 เดือน หรือตามอาการของโรค
การพยากรณ์โรค
การพยากรณ์โรคของมะเร็งเต้านมระยะแพร่กระจายขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ชนิดของมะเร็ง ระดับการแพร่กระจายของโรค สุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย เป็นต้น ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะแพร่กระจายสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานหลายปี หากได้รับการรักษาที่เหมาะสมและการดูแลที่ดี