ท้องผูกเรื้อรัง คือ อาการที่ถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือถ่ายลำบาก ต้องใช้แรงเบ่งมาก อุจจาระแข็งเป็นก้อน ถ่ายไม่สุด หรือถ่ายแล้วรู้สึกไม่โล่งท้อง อาการนี้อาจเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว หรือต่อเนื่องนานกว่า 4 สัปดาห์
ท้องผูกเรื้อรังอาจเกิดจากหลายสาเหตุ สาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในหญิงตั้งครรภ์ หญิงวัยหมดประจำเดือน หรือผู้ที่รับประทานยาฮอร์โมนทดแทน
- ภาวะขาดน้ำ ร่างกายต้องการน้ำในการย่อยอาหารและขับถ่าย หากร่างกายขาดน้ำ อุจจาระจะแข็งและขับถ่ายลำบาก
- ภาวะขาดไฟเบอร์ในอาหาร ไฟเบอร์เป็นสารอาหารที่ช่วยในการย่อยอาหารและขับถ่าย หากร่างกายขาดไฟเบอร์ อุจจาระจะแข็งและขับถ่ายลำบาก
- การใช้ยาบางชนิด ยาบางชนิด เช่น ยาแก้ปวด ยาลดกรด ยาต้านซึมเศร้า ยารักษาโรคไทรอยด์ ยารักษาโรคเบาหวาน ยารักษาโรคพาร์กินสัน เป็นต้น อาจทำให้เกิดอาการท้องผูกเป็นอาการข้างเคียงได้
- โรคบางชนิด โรคบางชนิด เช่น โรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรัง โรคโครห์น โรคลำไส้อุดตัน โรคพาร์กินสัน โรคไทรอยด์ต่ำ โรคเบาหวาน เป็นต้น อาจทำให้เกิดอาการท้องผูกได้
มะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นโรคที่พบได้บ่อยในคนไทย โดยมักพบในผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ได้แก่
- ประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่
- ภาวะลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรัง
- โรคโครห์น
- ภาวะมีติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่
- การสูบบุหรี่
- การดื่มแอลกอฮอล์
- การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง น้ำตาลสูง
อาการของมะเร็งลำไส้ใหญ่ในระยะแรกอาจไม่แสดงอาการใดๆ เลย หรืออาจมีอาการคล้ายกับอาการท้องผูกเรื้อรัง เช่น ถ่ายลำบาก อุจจาระแข็งเป็นก้อน ถ่ายไม่สุด ถ่ายแล้วรู้สึกไม่โล่งท้อง เป็นต้น หากมีอาการเหล่านี้ต่อเนื่องนานกว่า 2 สัปดาห์ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม
แนวทางการป้องกันอาการท้องผูกเรื้อรัง ได้แก่
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว
- รับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูง เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง น้ำตาลสูง
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
- หากรับประทานยาบางชนิด ควรปรึกษาแพทย์ถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
หากมีอาการท้องผูกเรื้อรัง ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น หากอาการไม่ดีขึ้นหรือมีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างท้องผูกเรื้อรังและมะเร็งลำไส้ใหญ่
มะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นโรคที่เกิดจากเซลล์ในลำไส้ใหญ่เจริญเติบโตผิดปกติและลุกลามจนกลายเป็นเนื้องอก เซลล์มะเร็งเหล่านี้อาจทำให้ลำไส้ใหญ่อุดตัน ส่งผลให้ลำไส้ใหญ่ขยายใหญ่ขึ้นและทำให้ลำไส้บีบตัวได้ยากขึ้น ส่งผลให้อุจจาระแข็งและขับถ่ายลำบาก อาการเหล่านี้คล้ายกับอาการท้องผูกเรื้อรัง ดังนั้น หากมีอาการท้องผูกเรื้อรังต่อเนื่องนานกว่า 2 สัปดาห์ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม
นอกจากนี้ มะเร็งลำไส้ใหญ่ยังสามารถแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ ในร่างกายได้ เช่น ตับ ปอดและกระดูก อาการของมะเร็งลำไส้ใหญ่ในระยะลุกลามอาจรวมถึง ปวดท้อง น้ำหนักลด อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร อุจจาระมีเลือดปน เป็นต้น หากมีอาการเหล่านี้ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม
การตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการวินิจฉัยและรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่ในระยะเริ่มแรก การตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่สามารถทำได้หลายวิธี เช่น การตรวจหาเลือดในอุจจาระ การตรวจเฝ้าระวังติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่ การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ความคมชัดสูง (CT colonography) และการตรวจเฝ้าระวังภาพถ่ายลำไส้ใหญ่ (colonoscopy)
หากได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ การรักษาขึ้นอยู่กับระยะของโรคและสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย การรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่อาจรวมถึงการผ่าตัด การให้เคมีบำบัด การให้รังสีรักษา หรือการให้การรักษาแบบผสมผสาน