1. วิธีวัดปริมาณไขมันในร่างกาย:
- เครื่องวัดค่า BMR (Basal Metabolic Rate): เป็นการวัดอัตราการเผาผลาญพลังงานขั้นต่ำของร่างกาย
- การวัดด้วยเครื่อง DEXA (Dual-energy X-ray absorptiometry): เป็นการวัดมวลกล้ามเนื้อ ไขมัน และกระดูก
- การวัดด้วยเครื่อง BIA (Bioelectrical impedance analysis): เป็นการวัดค่าความต้านทานไฟฟ้าของร่างกาย
- การวัดด้วย skinfold caliper: เป็นการวัดความหนาของชั้นไขมันใต้ผิวหนัง
2. ปัจจัยที่ส่งผลต่อปริมาณไขมันในร่างกาย:
- เพศ: ผู้หญิงมีไขมันในร่างกายมากกว่าผู้ชาย
- อายุ: ไขมันในร่างกายมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามอายุ
- พันธุกรรม: พันธุกรรมมีบทบาทสำคัญต่อปริมาณไขมันในร่างกาย
- การออกกำลังกาย: การออกกำลังกายช่วยเผาผลาญไขมัน
- อาหาร: อาหารที่มีไขมันอิ่มตัว น้ำตาล และคาร์โบไฮเดรตสูง ส่งผลต่อปริมาณไขมันในร่างกาย
- สุขภาพ: โรคบางโรค เช่น โรคไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำ ส่งผลต่อปริมาณไขมันในร่างกาย
3. ผลเสียของการมีไขมันในร่างกายมากเกินไป:
- โรคอ้วน: โรคอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังหลายชนิด เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง
- โรคหัวใจ: ไขมันในเลือดสูง ส่งผลต่อความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
- โรคเบาหวาน: ไขมันในร่างกายมากเกินไป ส่งผลต่อความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน
- โรคความดันโลหิตสูง: ไขมันในร่างกายมากเกินไป ส่งผลต่อความเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง
- โรคนอนหลับไม่สนิท: ไขมันในร่างกายมากเกินไป ส่งผลต่อความเสี่ยงต่อโรคนอนหลับไม่สนิท
4. คำแนะนำสำหรับการลดไขมันในร่างกาย:
- ควบคุมอาหาร: เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นผักผลไม้ ธัญพืช โปรตีน เลี่ยงอาหารแปรรูป ไขมันอิ่มตัว น้ำตาล
- ออกกำลังกาย: ออกกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อย 30 นาที 3-5 วันต่อสัปดาห์ เลือกประเภทที่เหมาะกับตัวเอง
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ: นอนหลับอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อวัน
- จัดการความเครียด: หาทางผ่อนคลายความเครียด