ณ วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 ตามเวลาประเทศไทย อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทไทยต่อเงินตราต่างประเทศชั้นนำ มีดังนี้
สกุลเงิน | อัตราแลกเปลี่ยน |
---|---|
ดอลลาร์สหรัฐ (USD) | 1 USD = 35.437 บาท |
ยูโร (EUR) | 1 EUR = 40.680 บาท |
เยนญี่ปุ่น (JPY) | 100 JPY = 35.180 บาท |
ดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD) | 1 AUD = 27.540 บาท |
ดอลลาร์แคนาดา (CAD) | 1 CAD = 27.420 บาท |
เงินหยวนจีน (CNY) | 1 CNY = 7.060 บาท |
ปอนด์สเตอร์ลิง (GBP) | 1 GBP = 49.180 บาท |
โครนเดนมาร์ก (DKK) | 100 DKK = 377.30 บาท |
ฟรังก์สวิส (CHF) | 1 CHF = 39.730 บาท |
โครนาร์สวีเดน (SEK) | 100 SEK = 332.10 บาท |
โครนาร์นอร์เวย์ (NOK) | 100 NOK = 363.70 บาท |
drive_spreadsheetส่งออกไปยังชีต
ค่าเงินบาทไทยอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ยูโร และเยนญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยสาเหตุหลักมาจากการที่ประเทศไทยพึ่งพาการนำเข้าสินค้าและบริการจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ในขณะที่ภาคการผลิตภายในยังไม่เข้มแข็ง ทำให้ต้องนำเข้าเงินตราต่างประเทศจำนวนมากเพื่อชำระค่าสินค้านำเข้า
นอกจากนี้ ภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นทั่วโลก ก็เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าเงินบาทไทยเช่นกัน เนื่องจากการอ่อนค่าของค่าเงินบาท ทำให้สินค้านำเข้ามีราคาสูงขึ้น ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อภายในประเทศปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย
การอ่อนค่าของค่าเงินบาทส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจของประเทศไทยหลายด้าน ดังนี้
- ทำให้สินค้าและบริการภายในประเทศมีราคาสูงขึ้น
- ทำให้ประชาชนมีรายได้ลดลง
- ทำให้ภาคการส่งออกของประเทศแข่งขันได้ยากขึ้น
รัฐบาลไทยได้พยายามแก้ไขปัญหาค่าเงินบาทอ่อนค่าลง โดยได้มีการประกาศมาตรการต่างๆ เพื่อช่วยพยุงค่าเงินบาท เช่น การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย การออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อดึงดูดเงินตราต่างประเทศ เป็นต้น แต่มาตรการเหล่านี้ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาค่าเงินบาทอ่อนค่าลงได้อย่างยั่งยืน