กล้วยและน้ำผึ้งเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ อย่างไรก็ตาม เด็กทารกอายุต่ำกว่า 1 ปี ควรหลีกเลี่ยงการกินทั้งสองอย่าง เนื่องจากอาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคโบทูลิซึมได้
โรคโบทูลิซึมเป็นภาวะอาหารเป็นพิษที่เกิดจากสารพิษจากเชื้อแบคทีเรียคลอสติเดียมโบทูลินัม (Clostridium Botulinum) ที่ปนเปื้อนในอาหาร ซึ่งเชื้อนี้จะพบได้ในน้ำผึ้งและอาหารอื่นๆ เช่น เนื้อสัตว์ ปลา ผัก และผลไม้ที่เก็บไว้ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม
ระบบย่อยอาหารของเด็กทารกยังไม่สมบูรณ์เต็มที่ จึงทำให้ไม่สามารถกำจัดเชื้อแบคทีเรียนี้ออกไปจากร่างกายได้ เมื่อเด็กทารกกินน้ำผึ้งหรืออาหารที่มีเชื้อโบทูลิซึมเข้าไป เชื้อแบคทีเรียจะเจริญเติบโตและผลิตสารพิษออกมา ซึ่งสารพิษนี้สามารถเข้าไปทำลายระบบประสาทและกล้ามเนื้อของเด็กทารกได้
อาการของโรคโบทูลิซึมในเด็กทารก ได้แก่
- อ่อนแรง
- กลืนลำบาก
- หายใจลำบาก
- ท้องผูก
- ซึม
- ชัก
หากเด็กทารกมีอาการเหล่านี้ ควรรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลทันที
ดังนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กทารกเสี่ยงต่อการเกิดโรคโบทูลิซึม จึงควรหลีกเลี่ยงการให้เด็กทารกกินน้ำผึ้งและอาหารที่มีความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนเชื้อโบทูลิซึม จนกระทั่งเด็กมีอายุครบ 1 ปี
สำหรับเด็กทารกที่มีอายุ 6 เดือนขึ้นไป ที่สามารถเริ่มกินอาหารเสริมได้แล้ว แนะนำให้เริ่มจากการกินอาหารบดหรืออาหารอ่อนๆ ที่ไม่แข็งหรือเหนียวจนเกินไป เช่น ข้าวบด ผักบด ผลไม้บด เป็นต้น และควรเลือกผลไม้ที่ปลอดภัยสำหรับเด็กทารก เช่น กล้วย แอปเปิ้ล แครอท เป็นต้น
นอกจากนี้ ควรให้เด็กทารกกินน้ำเปล่าหรือนมแม่เป็นหลักในช่วงแรก และค่อยๆ เพิ่มอาหารเสริมอื่นๆ เข้าไปทีละน้อย เพื่อให้ระบบย่อยอาหารของเด็กทารกค่อยๆ ปรับตัวได้